ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นในวันนี้เนื่องจากข้อมูล CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 2.4% ในเดือนมีนาคม จาก 2.8% ในเดือนกุมภาพันธ์
ข้อมูล CPI วันที่ 10 เมษายนออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมจะอยู่ที่ 2.5%
เงินเฟ้อที่ลดลงดัน Bitcoin
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่วัดอัตราเงินเฟ้อ โดยติดตามการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของราคาที่ผู้บริโภคจ่ายสำหรับสินค้าและบริการ ข้อมูล CPI ที่ต่ำกว่าที่คาดอาจช่วยผลักดัน Bitcoin ได้อย่างมาก ในขณะที่เขียน Bitcoin ซื้อขายอยู่ที่ 81,800 USD เพิ่มขึ้นกว่า 7% ในกราฟ 24 ชั่วโมง
Sponsored
ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูล CPI จะถูกเผยแพร่รายเดือน โดยสำนักสถิติแรงงาน ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
Bitcoin มีความไวต่อดัชนีเศรษฐกิจมหภาคเช่น CPI เพราะมีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อข้อมูล CPI แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ตลาดมักคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ตามข้อมูลของ CME FedWatch ความน่าจะเป็นของการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมลดลง จาก 57% เหลือเพียง 15% เนื่องจากการหยุดภาษี 90 วันของประธานาธิบดีทรัมป์และรายงานการประชุม FOMC เดือนมีนาคมที่เพิ่งเผยแพร่
ข่าวนี้เป็นการผ่อนคลายสำหรับ Bitcoin ซึ่ง ได้รับแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นกว่า 80,000 USD หลังจากที่ทรัมป์ ประกาศหยุดภาษี 90 วัน ยกเว้นภาษีที่มีต่อจีน
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และทำให้สินทรัพย์เสี่ยงเช่น Bitcoin ไม่น่าสนใจ ซึ่งมักนำไปสู่การลดลงของราคาชั่วคราว ในทางกลับกัน ตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าที่คาดอาจบ่งชี้ถึงท่าทีที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งสามารถเพิ่มความสนใจของนักลงทุนใน Bitcoin ในฐานะที่เป็นแหล่งเก็บมูลค่าทางเลือก
นักเทรดและนักลงทุนสถาบันติดตามตัวเลข CPI อย่างใกล้ชิด โดยปรับพอร์ตการลงทุนตามแนวโน้มเงินเฟ้อที่คาดการณ์และความคาดหวังต่อนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ เสน่ห์ของ Bitcoin ในฐานะการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ยังมีบทบาททางจิตวิทยา เมื่อ CPI สูง นักลงทุนบางคนหันมาใช้ Bitcoin เพื่อป้องกันการลดลงของอำนาจซื้อของสกุลเงินเฟียต ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาของมันสูงขึ้นในระยะกลางถึงยาว แม้ว่าความผันผวนในระยะสั้นจะยังคงอยู่
